/ผู้พัฒนา: มองย้อนหลัง Vanguard x LoL

ระบบป้องกันการโกง ทำหน้าที่ป้องกันการโกงได้ดีแค่ไหนจนถึงปัจจุบัน

สวัสดี เหล่านักเดินทาง

ถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วเกือบแปดเมกะวินาที นับตั้งแต่วันที่เราเริ่มใช้ Vanguard สำหรับ League of Legends และในช่วงเวลาอันแสนยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์นั้น ก็เกิดเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมากมาย กับเรื่องที่ไม่น่าสนใจบางส่วน และนักคอสเพลย์ Vanguard อีกอย่างน้อยหนึ่งคน (แฟชั่นชั้นสูง) เราจะมาพูดถึงสองอย่างแรกกับคุณในวันนี้ เพื่อสานต่อความพยายามอันแน่วแน่ของเราในการเป็นทีมงานระบบป้องกันการโกงที่เสียงดังที่สุด และโปร่งใสที่สุดในวงการเกม PC แต่ก่อนที่เราจะทำเช่นนั้น โปรดพิจารณาแวะไปอ่านบทความที่เราเผยแพร่ไปก่อนที่จะเริ่มใช้งาน Vanguard สำหรับเป็นเมนูเรียกน้ำย่อย 14 คอร์ส

หนึ่งในประเด็นเรียกน้ำย่อยเชิงปรัชญาที่เราควรเข้าใจให้ตรงกันตั้งแต่แรกเสียก่อน คือในระหว่างที่เรากำลังพยายามปรับปรุงการผสานระบบ Vanguard x LoL ให้ดียิ่งขึ้น (โดยที่พวกคนโกงก็จะพยายามพัฒนาโปรแกรมโกงด้วยเช่นกัน) เราจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน วิธีการป้องกันการโกงทุกรูปแบบ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นเพื่อแลกกับประสิทธิผล และการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของเรานั้น ก็เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า Riot ให้ความสำคัญอย่างเอาจริงเอาจังกับประสบการณ์ด้านการแข่งขันมากแค่ไหน โมเดล F2P ต้องรับมือกับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้มากมาย เนื่องจากโทษแบนไม่ได้ติดตัวผู้ที่กระทำผิดไปด้วยอย่างแท้จริง รวมถึงผู้ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม อาทิ การจงใจแจกแต้ม ทำลายบรรยากาศภายในเกม และปั๊มแรงค์ เราเข้าใจหากระบบป้องกันการโกงแบบ Kernel นั้นไม่ถูกใจคุณ แต่เราจะไม่รอจนกว่าแพลตฟอร์ม PC จะมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ดีพอที่จะรองรับเกมในแบบที่เราอยากให้เป็น จนกว่าจะถึงวันนั้น เราเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ว่าระบบป้องกันการโกงที่มีประสิทธิผล คือวิธีเดียวที่จะช่วยให้ League ยังคงพัฒนาและเติบโตต่อไปได้

เอาล่ะครับ ถึงเวลาเข้าสู่อาหารจานหลัก เผื่อจะลืมกันไปแล้ว ผมชื่อ “mirageofpenguins” และผมจะเป็นผู้ดูแลทุกท่านในมื้อค่ำวันนี้ ผลงานวงการอาหารในอดีตของผม คือถูกไล่ออกจากแฟรนไชส์ Subway หลังจากทำงานครบเก้าเดือน แต่หลังจากนั้น ผมก็รับหน้าที่ปรุงระบบป้องกันการโกงสด ๆ ร้อน ๆ จากเตาให้กับ Riot มากว่าทศวรรษแล้ว

สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบัน

เช่นเดียวกับการทำแซนด์วิชทั่วไป ร้าน Vanguard ของเราก็วางขนมปังไว้ด้านบนเช่นกัน ซึ่งการอัปเดตระบบป้องกันการโกงของ LoL นั้น ถือได้ว่าบรรลุตามเป้าหมายเบื้องต้นของเราหลาย ๆ ประการ มากเสียจนมีหลายคนเริ่มพิจารณาการทำ Vanguard 2 เลยทีเดียว ผมล้อเล่นนะครับ (จริง ๆ แล้วการอัปเดตระบบป้องกันการโกง ก็สนุกพอ ๆ กับการพยายามจับแมวมาใส่ถุงมือนั่นแหละ) แต่เราประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในหลายเรื่องจริง ๆ จากการใช้ระบบป้องกันการโกงของ LoL ในศตวรรษนี้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจมากนัก

จำนวนผู้ใช้สคริปต์ลดลง

เปอร์เซ็นต์ของเกม Ranked ที่มีผู้ใช้สคริปต์ร่วมเล่นด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน และการแบนที่ระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นเพราะ “การใช้สคริปต์” ในเกมการแข่งขัน มีตำนานเล่าต่อกันมาว่าผมชอบกราฟนี้มากจนสักมันไว้ที่ปลายแขนทั้งสองข้าง และยังกลับไปที่่ร้านสักทุกสามสัปดาห์ เพื่อทนเจ็บให้ช่างสักอัปเดตกราฟทั้งคู่ใหม่ด้วย หวังว่าคนจะเลิกใช้สคริปต์ก่อนที่ผมจะไม่เหลือผิวหนังว่างให้สักเพิ่ม

ชัยชนะเรื่องแรกและที่ชัดเจนที่สุด คือขณะนี้มีคนโกงในเกมน้อยลงกว่าเดิมมาก กราฟด้านบนคืออัตราการใช้สคริปต์ในเกม Ranked ของ LoL เปรียบเทียบกับปริมาณการแบนรายวันโดยระบบป้องกันการโกง แยกตามระบบที่ใช้ในการตรวจจับ  (“Packman” คือระบบป้องกันการโกงตัวเก่า และ “Vanguard” คือระบบป้องกันการโกงตัวใหม่) ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้สคริปต์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทันทีนั้น เนื่องมาจากฟีเจอร์เชิงป้องกันของ Vanguard ซึ่งก็อาจจะเห็นได้ชัดเจนจากการเพิ่มหมวดหมู่ “การแบนฮาร์ดแวร์” นอกจากนี้ จำนวนที่ลดลงยังมาจากการตรวจจับเหล่าคนโกงที่ยังคงอาจหาญท้าทายระบบหลังจากเริ่มใช้งาน Vanguard และต้องเสียสละบัญชีทั้งหมดที่มี เพื่อพิสูจน์ว่าระบบป้องกันการโกงนั้น มีขีดจำกัดในการแบนอยู่หรือไม่ (ไม่มีหรอก)

นับตั้งแต่เริ่มใช้ Vanguard เราแบนไปแล้วกว่า 175,000 บัญชี ในความผิดฐานเล่นโกง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อัตราการใช้สคริปต์ในเกม Ranked ลดลงเหลือต่ำกว่า 1% เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเกือบสี่ปี ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่นั้น มีเพียง 1 ในทุก ๆ 200 เกม Ranked เท่านั้น ที่จะมีโอกาสเจอผู้ใช้สคริปต์ และผมก็มองว่านี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผมสามารถเล่นเกมวัดแรงค์ของตัวเองได้อย่างสบายใจเสียที ผมมั่นใจว่าคงจบออกมาที่ Iron II จากอัตราชนะสุดเฉียบ 10% แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ผมก็จะเหลือข้ออ้างเพียงแค่การมีอยู่ของแชมเปี้ยนอย่าง Zed เท่านั้น

การเพิ่มจำนวนการแบนอย่างกะทันหันเมื่อเร็ว ๆ นี้ (วันที่ 8 กรกฎาคม) เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ Riot ชอบเรียกว่า “วันหยุดฤดูร้อน” และหลังจากที่ทุกคนกลับมา เราก็เต็มเปี่ยมด้วยพลังงานดิบในการป้องกันการโกง ส่งผลให้มีผู้ใช้สคริปต์ 35,000 รายโดนแบนภายในไม่ถึง 48 ชั่วโมง แม้หลายคนอาจจะตกตะลึงว่าทีมงานป้องกันการโกงเอาเวลาที่ไหนไปนอน แต่ขอให้มั่นใจได้ว่าพวกเราเกือบทุกคนยังเข้าเกณฑ์การเป็นมนุษย์อยู่ 100% เราเองก็ชอบความสุขง่าย ๆ อย่างการมองต้นไม้และการได้รับสารอาหาร ดังนั้นการได้พักผ่อนเต็มอิ่มหนึ่งสัปดาห์ จึงทำให้พวกเรามีความแน่วแน่ในการทำงานมากยิ่งขึ้น

บอทลดลง

จำนวนชั่วโมงการใช้บอท แยกตามการเข้าคิวเล่นเกมในแต่ละโหมด  คุณน่าจะเดาได้ถูกแล้ว เหตุผลที่ผมใช้ “ชั่วโมง” ในที่นี้ ก็เพื่อให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงกับกระเป๋าเงินของพวกเขา (ค่าเซิร์ฟเวอร์)

กราฟที่สองของเรา จะแสดงจำนวนชั่วโมงการใช้บอทเล่นเกมในปีนี้ ซอฟต์แวร์บอทและสคริปต์นั้นคล้ายกันมาก เราจึงแยกระหว่างการกระทำผิดสองข้อหานี้ โดยยึดตามประสิทธิภาพของผู้เล่นและไคลเอนต์เกมเป็นหลัก เช่น บอทโดนป้อมยิงตาย และการเล่นได้ทั้ง ๆ ที่ FPS แค่ 9 ถ้าอธิบายในภาษาข้อมูลเนทีฟ ก็น่าจะหน้าตาประมาณนี้:

select date, game_mode, sum(minutes_in_game) * 60

from anticheat.detections 

where client.resolution_x + client.resolution_y < 1000

   and client.avg_fps < 15 fps

group by 1, 2

อย่างไรก็ตาม เทคนิคการป้องกันเวอร์ชวลแมชชีนของ Vanguard สร้างความเสียหายหนักหน่วงให้กับความสามารถของเครื่องชงกาแฟรุ่นตั้งโปรแกรมได้ทั่ว ๆ ไปในการควบคุมบอทเกม League of Legends โดยส่งผลให้ชั่วโมงการใช้บอทรวมจากสูงสุด 1 ล้านต่อวัน เหลือเพียงไม่ถึง 5 พันเท่านั้น ฟาร์มบอทหลายแห่งได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง และหากคุณเล่นโหมด Co-Op vs AI คุณอาจได้เห็นบอทยืนขบคิดปรัชญาชีวิตนิ่ง ๆ อยู่ที่น้ำพุด้วยตาคุณเองก็ได้ อาการบอทยืนนิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เป็นผลมาจากการไม่ได้รัน Vanguard เมื่อไม่มีเซสชัน Vanguard ก็จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้ บอทบางรุ่นก็พยายามตอบโต้โดยการใช้ OSX VM รุ่นเก่า แต่เดี๋ยวเราจะเก็บประเด็นนั้นไว้เป็นของหวานทีหลังนะ (อ่านต่อไปก่อน)

ไม่นานหลังจากเริ่มใช้ Vanguard เรายังจัดการกับบัญชีบอทที่ยังไม่ถูกขายออกไปได้ถึง 3.5 ล้านบัญชี โดยมีเป้าหมายคือการค่อย ๆ ทำให้ตลาดซื้อขายบัญชีมือสองค่อย ๆ ตายลงอย่างช้า ๆ เนื่องจากไม่มีสินค้า บอทถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกลไกที่ขับเคลื่อนการกระทำผิดในระบบการแข่งขันของ LoL ทั้งจากการช่วยให้พวกปั๊มแรงค์มีไอดีสเมิร์ฟใหม่ สำหรับนำไปเข้าคิวเล่นร่วมกับลูกค้า และยังเป็นบัญชีใหม่ที่ผู้ใช้สคริปต์สามารถนำมาใช้ “เล่น” ได้อีกด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกการทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ว่าเป็นการ “เล่น” League of Legends ได้อย่างเต็มปาก เราจึงพยายามเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องปิ้งขนมปังอัจฉริยะเหล่านี้ จะได้รับบทลงโทษอื่น ๆ จากเราอย่างสาสมทุกวินาที

แบนได้เร็วขึ้น

คุณอาจรู้สึกโล่งใจอยู่พักหนึ่ง ที่ผมอาจจะหยุดอธิบายโดยการเปรียบเทียบกับแซนด์วิชเสียที แต่ผมก็เหมือนกับนักเขียนหมดมุกทุกคนนั่นแหละ ผมห้ามตัวเองไม่ได้ในการที่จะใช้อาหารเป็นสื่อกลางในงานเขียนของผม ดังนั้น เราจะถือว่ากราฟถัดไปเป็นมายองเนสก็แล้วกัน ซึ่งมันก็มีส่วนคล้ายกับมายองเนสจริง ๆ อยู่มาก เพราะหากขาดมันไป มันก็ไม่ใช่แซนด์วิชไงล่ะ

เราจะวัด “เวลาดำเนินการ” (ซ้าย) ตามจำนวนเกม และวัด “เวลาตรวจจับ” (ขวา) ตามจำนวนวัน  โดยค่าแรกนั้นจะเป็นการวัดว่าเราสามารถลงโทษคนร้ายได้เร็วแค่ไหน ในขณะที่ค่าหลังจะเป็นการวัดความเร็วที่เราสามารถพัฒนาระบบตรวจจับโปรแกรมโกงที่มีข้อมูลในมือ สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ การที่เราตรวจพบบางอย่าง ไม่ได้แปลว่าเราจะทำการแบนในทันที

ด้านบนทางซ้ายคือ KPI ระบบป้องกันการโกงหลักของเราที่เรียกว่า “เวลาดำเนินการ” ซึ่งสามารถตีความง่าย ๆ ว่าเป็นจำนวนเกมที่คนโกงสามารถเล่นได้ ก่อนที่บัญชีของพวกเขาจะถูกส่งไปอยู่ในมิติอัลกอริธึมที่มีการบีบอัดของกาลอวกาศจนไม่มีอยู่จริง หรือที่เรามองว่ามันคือการโดนแบน เนื่องจากเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการอัปเดตของ LoL อีกต่อไป Vanguard จึงช่วยเร่งความเร็วให้กับกระบวนการกำจัดผู้ใช้สคริปต์ออกจาก League of Legends ได้มากยิ่งขึ้น เวลาดำเนินการของเรา ลดจาก 45+ เกม เหลือไม่ถึง 10 เกม และความล่าช้าที่เหลืออยู่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นความตั้งใจของเราในการป้องกันไม่ให้นักพัฒนา “ไหวตัวทัน” ว่าพวกเขาโดนล้อมไว้หมดแล้ว

ดังนั้น กราฟทางขวาจึงเปรียบเสมือนการมองไปที่อีกด้านของเหรียญนี้ “เวลาตรวจจับ” คือการวัดว่าโปรแกรมโกง (หรือเวอร์ชันอัปเดตของมัน) สามารถซ่อนตัวอยู่ในระบบการแข่งขัน LoL ได้นานแค่ไหน ก่อนที่เราจะเขียนระบบตรวจจับโปรแกรมโกงนั้น ๆ ใส่จารึก แล้วเผาบูชายัญเพื่อส่งไปทำหน้าที่ใน Vanguard Cloud เราสามารถประมาณการส่วนนี้ได้จากการดูที่อายุที่มากที่สุด (เป็นวัน) ของบัญชีทั้งหมด + ฮาร์ดแวร์ ซึ่งถูกตรวจพบเป็นครั้งแรก หลังจากเริ่มใช้ระบบการตรวจจับใหม่ (โปรแกรมโกงนั้นน่าจะ “โผล่มาครั้งแรก” เมื่อใด) แม้เราจะทำงานได้เร็วสุด ๆ ในตอนนี้ แต่เมื่อโปรแกรมโกงเริ่มหลบซ่อนเก่งขึ้น หรือมีความซับซ้อนมากขึ้น เราก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นในการตามหาและสร้างระบบตรวจจับ นี่คือสมดุลที่ละเอียดอ่อนในการทำงานของระบบป้องกันการโกง: เราจะต้องไม่ให้ความสำคัญกับการ “ดำเนินการ” มากจนเกินไป จนเป็นการเร่งให้คนโกงพัฒนาตัวเองเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ “ระบบตรวจจับ” ของเราช้าลงแทน

โดยปกติแล้ว คนโกงที่ยังพยายามโกงต่อในจักรวาลยุคหลัง Vanguard มักเป็นคนที่ไม่ชอบแนวคิดความเป็นเจ้าของบัญชี หรือแนวคิดการเล่นเกมอย่างยุติธรรม คอมมูนิตี้ของพวกเขามักเต็มไปด้วยคนโกงมากมาย พวกเขาจะเล่นเกมด้วยการโกง ซึ่งมีแค่เวลาหรือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น สิ่งเดียวที่เราทำได้ คือการแยกเดี่ยวพวกเขาเอาไว้ และความเร็วที่เราตรวจพบพวกเขาซ้ำอีกครั้ง คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของเราในการบังคับให้พวกเขาเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด

การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ “ที่น่าสนใจ”

แม้การเปลี่ยนแปลงหลังใช้สคริปต์ของ Zeri อาจจะดูเย้ายวนใจ แต่อย่าลืมว่าการไปเที่ยวเมืองแบนนั้นเป็นตั๋วเที่ยวเดียว พร้อมอัตราภาษี 100% ของรายได้ต่อปีของบัญชีคุณ

แดชบอร์ดด้านบนคือการติดตามแชมเปี้ยน 9 ตัวที่คนนิยมใช้สคริปต์มากที่สุด เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการปรับใช้ Vanguard และเนื่องจากการคลิกเมาส์รัว ๆ อย่างเอาจริงเอาจัง เป็นสิ่งที่สคริปต์ทำได้ดีกว่ามนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วแชมป์เหล่านี้จึงเป็น ADC ไทม์ไลน์ทางด้านซ้าย คือแชมเปี้ยนเหล่านี้มีอัตราชนะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนเมื่อเล่นโกง เทียบกับตอนไม่โกง (เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงอัตราชนะเกม Ranked ระหว่างผู้ใช้สคริปต์กับผู้เล่นทั่วไป) และกราฟทางด้านขวาคืออัตราชนะรวมของแชมเปี้ยนชุดเดียวกัน ประเมินที่ 60 วันก่อนหน้า และ 60 วันหลังจากใช้ Vanguard  เพื่อให้ตัวอย่างอยู่ในระดับการแข่งขันที่เหมาะสม ทุกเกมที่เรานำมาประเมิน จะเป็นเกมที่ผู้เล่นแชมเปี้ยนแต่ละตัวในกลุ่มอยู่ในระดับ Platinum หรือสูงกว่าเท่านั้น

เรื่องน่ายินดีที่พบได้จากการปล่อยให้แสงตกกระทบกราฟไปสะท้อนที่ดวงตาของคุณก็คือ: คนโกงเริ่มมีอัตราชนะน้อยลงเรื่อย ๆ มีหลายปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ MVP ก็คือ Vanguard ทำให้การใช้โปรแกรมโกงที่อ่านค่าจาก “ภายใน” กลายเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างมาก ในการหลีกเลี่ยงการสร้างแพทเทิร์นที่จะถูกตรวจจับได้ ส่งผลให้คนโกงจำนวนมากต้องหันไป (1) เล่นเอง หรือ (2) เลือกใช้โปรแกรมโกงในรูปแบบที่อ่านค่าจาก “ภายนอก” แทน ซึ่งโปรแกรมโกงเหล่านี้ ไม่ได้หรูหราจนสามารถอ่านหน่วยความจำภายในเกมได้ จึงต้องรับข้อมูลจากการอ่านหน้าจอ และพยายามส่งอินพุตแทนคนโกง ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ... มันห่วยลง

นอกจากนี้ การที่ผู้ใช้สคริปต์ลดลง (รวมถึงการที่ประสิทธิภาพการใช้สคริปต์ลดลง) ก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบกับอัตราชนะโดยรวมของเหล่าแชมเปี้ยนที่คนโกงนิยมใช้สคริปต์ด้วย  แม้การควบคุมสิ่งต่าง ๆ อาทิ การปรับสมดุล การรีเซ็ตประจำซีซั่น และการดราฟต์ตัวแก้ทางให้ได้เปรียบจะเป็นเรื่องยาก แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เปอร์เซ็นต์เหล่านี้ลดลง ก็เนื่องมาจากคนโกงประสบปัญหาในการรักษาบัญชีให้อยู่ในระดับ Diamond ต่อไป แค่คิดผมก็ดีใจจนตัวลอยเลยเนี่ย

ตรวจจับผิดพลาดเพียงเล็กน้อย

ระบบป้องกันการโกงใหม่เอี่ยม อาจมีความเสี่ยงในการรายงานแอสเซ็ตซอฟต์แวร์ที่ “ดูคล้าย” โปรแกรมโกง (ซึ่งมักจะเป็นมัลแวร์หรือโปรแกรมโกงของเกมอื่น) แต่โชคดีที่ Vanguard ก็ไม่ได้ “ใหม่” ขนาดนั้น ปีนี้อายุสี่ขวบแล้ว และสำหรับขนมปังแผ่นสุดท้ายของแซนด์วิชชิ้นนี้ (ซึ่งผมเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีแค่เซียบัตต้าสไลซ์สองแผ่นจุ่มลงในเครื่องปรุง) เราจะมาพูดถึงอัตราการตรวจจับผิดพลาดของ Vanguard ใน LoL กัน

ต้องขอบอกก่อนว่า “อิกัวน่าที่น้องชายผมเลี้ยง เป็นคนติดตั้งสคริปต์บนคอมพิวเตอร์ของผม” ถือเป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้เมื่อถูกแบนในข้อหาเล่นโกง แต่พิจารณาจากความถี่ที่เราได้ยินข้ออ้างลักษณะนี้ เราเริ่มจะกังวลใจว่าในอนาคตจะมีคนอ้างถึง “ก๊อดซิลลา” แฟรนไชส์เพิ่มเข้ามาด้วย

แกนซ้ายด้านบน คือเปอร์เซ็นต์การปลดแบนทั้งหมดของ Vanguard (กราฟแท่ง) แบ่งตามเหตุผลของการปลดแบน และแกนด้านขวา คือการแบ่งในลักษณะเดียวกัน เพื่อแสดงเวลาเฉลี่ยที่บัญชีเหล่านั้นโดนแบน (กราฟเส้น) การปลดแบนในที่นี้จะมีสามประเภท เรียงจากซ้ายไปขวา:

  1. บัญชีที่โดนขโมย (ไม่ได้เกิดจากการแชร์กับใคร) ในขณะที่ถูกตรวจพบว่าเล่นโกง

  2. บัญชีที่ถูกล็อกเนื่องจากการยืมใช้หรือการซื้อฮาร์ดแวร์ที่ถูกแบนไปก่อนหน้านั้น

  3. บัญชีที่ถูกแบนเนื่องจากแอสเซ็ตหรือลักษณะการทำงานที่ไม่ใช่การจงใจโกงใน League of Legends

เราจะพิจารณาว่าระบบตรวจจับผิดพลาด “จริง” เฉพาะการแบนด้วยเหตุผลข้อสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งจนถึงตอนนี้ อัตราโดยรวมนั้นแทบจะไม่ถึง 0.01% หรือ น้อยกว่า 1 ครั้ง ในทุก ๆ การแบน 10,000 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ระยะเวลาเฉลี่ยที่บัญชีของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นต้องติดโทษแบนก็ไม่ถึง 72 ชั่วโมงด้วยซ้ำ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกฎบางส่วนเพื่อให้รองรับรูปแบบการเล่นที่พิเศษของ LoL ให้สามารถเล่นเกมอื่นไปพร้อม ๆ กันได้ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่นดี เรายังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการลงโทษอย่างแม่นยำที่สุด และจะทบทวนกฎต่าง ๆ ของ Vanguard อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม คนโกงก็ยังคงต้องการบัญชีเพิ่มมากขึ้นในการโกงต่อไป ดังนั้นเคส “บัญชีที่โดนขโมย” จึงยังคงเป็นเคสที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด แม้ฝ่ายช่วยเหลือผู้เล่นจะยอมยกเว้นให้หนึ่งครั้งสำหรับบัญชีที่มีหลักฐานชัดเจนว่าโดนแฮ็ก แต่บางครั้งเราก็บอกไม่ได้ว่า “ใคร” คือเจ้าของบัญชีตัวจริง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการแชร์ให้เล่นกันหลายคนอย่างต่อเนื่องยาวนาน การนำ Vanguard มาใช้กับ League ช่วยให้เจ้าบัญชีร่วมหลายคนได้ทราบว่าเพื่อนของเขามีแนวโน้มที่จะเล่นโกง แต่เราก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือได้ในกรณีที่มีผู้เล่นตั้งแต่สองคนขึ้นไปอ้างสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของบัญชี

อย่าแชร์บัญชีของคุณ อย่างตั้งรหัสผ่านซ้ำเดิม และโปรดเปิดใช้งาน MFA

หัวข้อที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

มีคนประมาณ 0.0% ที่รู้สึกตื่นเต้นกับการได้ติดตั้งระบบป้องกันการโกงภาคบังคับ ดังนั้นคงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทีมงาน Vanguard จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าคงไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใน LoL อย่างแน่นอน Vanguard เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งปฏิบัติงานในรูปแบบที่เกือบจะไม่มีความชัดเจนอยู่เลย ที่ต้องเป็นเช่นนี้ ก็เพื่อประสิทธิผลในการป้องกันคนโกงที่ย่อมอยากทำความเข้าใจการทำงานของมัน แม้จะนิดหน่อยก็ยังดี แต่ความไม่ชัดเจนเดียวกันนี้เอง ที่ทำให้ Vanguard ตกเป็นเป้าของการโจมตีจากการไม่อธิบายการทำงานให้คนเข้าใจได้เสมอไป  บางส่วนที่อยู่ถัดจากนี้จะค่อนข้างเน้นหนักไปที่เรื่องทางเทคนิค แต่โปรดอยู่ด้วยกันก่อน แล้วผมจะจับมือคุณผ่านมันไปด้วยกัน

การบล็อกไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่

เป้าหมายของ Vanguard นั้นไม่ใช่การทำตัวเป็นเหมือนตำรวจที่คอยสอดส่องดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่ทำหน้าที่เป็นตรารับรองระบบความปลอดภัยที่มีอยู่แล้วของระบบซึ่งรัน Vanguard อยู่ Vanguard จะคุมพื้นที่รอบ ๆ Windows Kernel ซึ่งช่วยให้เราต้องการข้อมูลน้อยลงจากระบบในส่วนที่การป้องกันเนทีฟของ Windows ยังไม่เคยถูกบุกรุก และยังอยู่ในสถานะที่เราทราบว่าปลอดภัย

ระบบป้องกันการโกงของเราสามารถคุมพื้นที่นี้ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่าย ด้วยการให้คอมโพเนนต์ไดรเวอร์ของตัวเองเริ่มทำงานพร้อมกับระบบปฏิบัติการ เพื่อบล็อกไดรเวอร์อื่น ๆ จากการถูกใช้ในการ “วิ่งแข่ง” เข้าไปที่ Kernel ซึ่งเมื่อทำสำเร็จ โปรแกรมโกงก็จะสามารถซ่อนตัวได้อย่างถาวรจากทุกอย่างที่ระบบทำการโหลดหลังจากนั้น บ่อยครั้งที่ปัญหานี้ถูกเรียกว่า “ใครโหลดก่อน?” Vanguard จะช่วยยืนยันได้ว่าปัญหานี้ไม่เคยเกิดขึ้นนับจากที่บูตระบบ โดยการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะเปิดเกม

สิ่งที่ Vanguard บล็อกได้แก่:

  1. ไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่พร้อมสิทธิ์การขยายขอบเขต ซึ่งสามารถถูกคนร้ายนำไปใช้ในการใส่โค้ดเข้าไปใน Kernel ได้

  2. ไดรเวอร์ที่ค่อนข้างเก่าซึ่งมีใบรับรองที่หนึ่งในลายเซ็นไม่มีประทับเวลา

  3. ไดรเวอร์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการโกงโดยตรง เซ็นชื่อโดยผู้พัฒนาโปรแกรมโกงโดยสวมรอยเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมาย

เคสที่สองคือการบล็อกที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ปัญหาของการอนุญาตใบรับรองเก่า ๆ คือใบรับรองเหล่านี้จำนวนมากมักถูกคนโกงขโมยไปใช้ โดยส่วนใหญ่แล้ว มักสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการดาวน์โหลดไดรเวอร์ที่ได้รับผลกระทบในเวอร์ชันที่ใหม่กว่า แต่บางครั้งผู้พัฒนาก็เลิกพัฒนาต่อไปนานแล้ว  และถึงแม้พวกเขาจะทำได้ แต่การเพิกถอนลายเซ็นเก่าตอนนี้ ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรทุกคนไม่สามารถรันซอฟต์แวร์ที่พวกเขาเซ็นชื่อได้ ดังนั้น Vanguard จึงเลือกบล็อกไดรเวอร์ที่มีใบรับรองเหล่านี้ในขณะที่มีการเรียกใช้งานแทน คุณยังคงสามารถสั่งคิล Vanguard เพื่อโหลดซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้อยู่ดี แต่หากต้องการเล่นเกมที่ใช้ Vanguard เราจำเป็นต้องทราบว่าไม่มีสิ่งใดที่มีโอกาสแฮ็ก Windows ได้นับจากการบูตครั้งล่าสุด

บูตวน

เหตุการณ์บูตวนพร้อมกันจำนวนมหาศาลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้เกิดความกังวลใจทั่วโลกเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ของการใช้งานไดรเวอร์ Kernel แม้ว่ามันจะฟังดูชวนขนลุก แต่ Vanguard ก็มีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดเหตุการณ์อันแสนเลวร้ายนี้ขึ้น มีหลายปัจจัยในการสร้างความแตกต่าง และการบรรเทาปัญหาโดยตรงเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้

การสร้างความแตกต่างขณะบูต

คอมโพเนนต์ระบบป้องกันมัลแวร์ที่ผ่านการรับรองจาก Microsoft จะได้รับสิทธิ์ ELAM ซึ่งเมื่อมี ก็จะได้รับสิทธิ์ในการโหลดไดรเวอร์ขณะเริ่ม “บูต” ซึ่งเร็วกว่าของ Vanguard ที่โหลดในขณะเริ่ม “ระบบ” (ผู้อ่านที่ตั้งใจเรียนอาจจำได้ว่านี่คือรูปแบบตามธรรมชาติของการแข่งขัน “ใครโหลดก่อน”) แต่ที่สำคัญกว่านั้น ไดรเวอร์ป้องกันมัลแวร์หลาย ๆ ตัว ก็มีการดึง Blobs การกำหนดค่าแบบไดนามิกจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลขณะรัน โดยไม่จำเป็นต้องสร้างและรับรองไดรเวอร์ซ้ำอีกครั้ง ดีไซน์รูปแบบดังกล่าวช่วยให้รับมือภัยคุกคามได้รวดเร็วขึ้น แต่ก็มีการเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องเพื่อใช้ในการเริ่มทำงานแต่ละครั้ง ส่งผลให้เกิดเวกเตอร์สำหรับการอัปเดตที่ไม่สามารถยกเลิกได้ ในกรณีที่คอนฟิกใด ๆ ทำให้เกิดสภาวะการแข่งขันที่ไม่สามารถดาวน์โหลด Blobs ใหม่ได้ก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะหยุดทำงาน ไดรเวอร์แบบไดนามิกที่เริ่มทำงานขณะบูต จึงเป็นการเพิ่มพื้นที่ความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ และมันเป็นสิ่งที่ทีมงาน Vanguard เชื่อว่าไม่มีจะดีกว่า

โค้ดแบบสแตติก

ไดรเวอร์ของ Vanguard (VGK.sys) จึงไม่ทำอะไรในรูปแบบไดนามิกเลยขณะเริ่มทำงาน ทุกอย่างเป็นโค้ดแบบสแตติกหมด เราจะใช้ประโยชน์จากคอมโพเนนต์ไคลเอนต์ของ Vanguard (VGC.exe) ในการเริ่มใช้งานฟีเจอร์ภายในไดรเวอร์จากระยะไกล เฉพาะเมื่อมีการเล่นเกมอยู่ในขณะนั้น ไม่มีการจัดเก็บ เปลี่ยนแปลง หรือคงการกำหนดค่าใด ๆ ไว้ในการเรียกใช้งานไดรเวอร์ครั้งถัดไป และในกรณีที่เกิดบั๊กขั้นร้ายแรงขึ้น เราก็จะทำแค่หยุดส่งคอนฟิกที่ได้รับผลกระทบ แล้วแปลงไดรเวอร์กลับเข้าสู่สถานะพาสซีฟที่อยู่เฉย ๆ ในการรีบูตครั้งถัดไป คอมโพเนนต์ไดรเวอร์ของ Vanguard ไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายในตัวเอง ไคลเอนต์จะต้องสร้างการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม ก่อนที่จะ “ทำ” สิ่งใดก็ตามที่นอกเหนือไปจากการบล็อกไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่ซึ่งถูกโหลดหลังจากนั้น

ระบบป้องกันความผิดพลาดที่เรียบง่าย

วิศวกรคนรุ่นใหม่ผู้กล้าได้กล้าเสียบางส่วนได้เคยอธิบายรายละเอียดของกระบวนการนี้ไปแล้ว แต่การเข้าใช้งานไดรเวอร์ของ Vanguard จะมีกลไกสวิตช์แบบ Deadman อยู่ในรูปแบบของไฟล์ vgkbootstatus.dat เมื่อ Vanguard เริ่มทำงานครั้งแรก ก็จะตรวจสอบสถานะของไฟล์นี้ และหากสถานะของไฟล์ไม่ใช่ “เริ่มทำงานแล้ว” ไดรเวอร์ก็จะออกจากการทำงานอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้น ไดรเวอร์ก็จะตั้งค่าสถานะของไฟล์ดังกล่าวให้เข้าสู่สถานะ “กำลังเริ่มทำงาน” และหลังจากที่ทำงานจนเสร็จสมบูรณ์ ก็จะตั้งค่ากลับเป็นสถานะ “เริ่มทำงานแล้ว” อีกครั้ง ตามหลักแล้ว หากการเริ่มทำงานของ VGK.sys ล้มเหลวและไม่สามารถทำงานจนเสร็จได้ ไฟล์ดังกล่าวก็จะยังคงอยู่ในสถานะ “กำลังเริ่มทำงาน” และไดรเวอร์ก็จะไม่รันอีกจนกว่าจะได้รับการอัปเดต (ด้วยการเปิดเกมของ Riot หรือจงใจติดตั้ง Vanguard ใหม่อีกครั้ง)

“อีเวนต์ Vanguard” ใกล้ ๆ คุณ

การผสานการทำงานของ Vanguard เข้ากับ LoL นั้นค่อนข้างพิเศษ เนื่องจากเซสชันป้องกันการโกงจะถูกสร้างขึ้นขณะไคลเอนต์เดสก์ท็อปเพิ่งเริ่มทำงาน แทนการสร้างขณะที่ไคลเอนต์เกมเริ่มทำงาน (เช่น VALORANT) ซึ่งอาจจะฟังดูแปลก ๆ จากมุมมองของระบบป้องกันการโกง และมันยังมาพร้อมกับความท้าทายพื้นฐานที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้: ผู้เล่นมักปล่อยให้ไคลเอนต์เดสก์ท็อปของตัวเองรันค้างไว้ ซึ่งหมายความว่า (1) คอมพิวเตอร์อาจะเข้าสู่โหมดสลีปในระหว่างเซสชัน LoL ยังทำงานอยู่ และ (2) หนึ่งเซสชันมักจะเตะอีกหนึ่งเซสชันอยู่บ่อย ๆ (เช่น การสลับเล่นระหว่างคอมพิวเตอร์ที่บ้านและที่ทำงาน)

น่าเสียดายที่การผสานการทำงานของ LoL กับ Vanguard ไม่สามารถจัดการอีเวนต์เหล่านี้ได้ แต่เนื่องจากแต่ละบัญชีสามารถมีเซสชัน Vanguard ได้เพียงครั้งละหนึ่งเซสชัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือผู้เล่นจะเข้าสู่สถานะไม่มี Vanguard ดังนั้น หากคุณอยู่ในเกมแล้วมีคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองทำการรับรองความถูกต้อง Vanguard ซ้ำอีกครั้ง คุณจะถูกไล่ออกจากเซิร์ฟเวอร์เนื่องจากไม่มีเซสชันป้องกันการโกงอยู่อีกต่อไป เช่นเดียวกัน หากคุณสูญเสียเซสชันในระหว่างที่กำลังจับคู่เล่นเกม คุณก็อาจจะไม่ได้รับการแจ้งเตือนจนกว่าจะผ่านเข้าสู่หน้าจอโหลด และถูกเตะออก ซึ่งมีโอกาสที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์อันแสนโหดร้ายในความผิดฐานแมตช์รีเมค รวมถึงต้องเสีย LP อีกด้วย

Riot มีการรับมือกับปัญหานี้อย่างดีที่สุด และถึงแม้ว่าเราจะมีการปล่อยแพตช์แก้ไขด่วนในส่วนของการรับรองความถูกต้องซ้ำ แต่ LoL ก็จะเริ่มใช้งานการตรวจสอบเซสชันในระหว่างการจับคู่เล่นเกม เพื่อให้แน่ใจเต็ม 300% ว่าปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีก หากคุณอ่านตามลีลาการเปรียบเทียบกับอาหารของผมมาโดยตลอด จานนี้ก็คงเรียกได้ว่าเป็นสปาเก็ตตี้ และแม้ว่ามันจะเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของ Riot แต่เราก็ไม่อยากให้มีใครต้องกินมัน

และอีกเรื่องหนึ่ง…

สุดท้ายนี้ผมอยากขอขโมยดวงตาของทุกคนไว้อีกสักครู่หนึ่ง เพื่อพูดถึงปัญหาอีกสามอย่างที่เราพบเจอ เผื่อกรณีที่ Google ทำดัชนีหน้านี้ไว้มากพอสำหรับใครก็ตามอาจมองว่ามันเป็นประโยชน์ เช่นเคย วิธีที่ดีที่สุดในการขอความช่วยเหลือ ได้แก่การส่งคำร้อง

คลิกแล็กหรือ FPS ตก

มีแอปพลิเคชันบุคคลภายนอกหลายตัว (ม็อด โอเวอร์เลย์ หรือเครื่องมือเบนช์มาร์คที่ทำงานแบบพาสซีฟ) ซึ่งบางครั้งอาจพยายามเปิด Read Handle หรือตั้งค่า Hooks สำหรับการแจ้งเตือนเหตุการณ์บางอย่างภายในไคลเอนต์ LoL ซึ่งหลังจากที่ Vanguard ทำหน้าที่ปกป้องเกม การดำเนินการเหล่านี้จึงล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่อยากให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้รบกวนตัวเกม การบล็อกดังกล่าวจึงเป็นเจตนาของเรา 100% อย่างไรก็ตาม วิธีที่บางแอปใช้ในการรับมือเมื่อการดำเนินการบน Windows ล้มเหลว อาจมีตั้งแต่อยู่เงียบ ๆ และไม่สนใจปัญหา ไปจนถึงพยายามดำเนินการใหม่ซ้ำ ๆ แบบรัว ๆ ไม่เว้นช่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่สามารถแก้ไขได้จากทางฝั่งเรา ดังนั้น หากคุณทราบว่าแอปพลิเคชันใดที่เป็นตัวต้นเหตุ และมันยังไม่มีกลไกการเพิ่มรายการอนุญาตสำหรับเพิ่ม LoL.exe เป็นข้อยกเว้น คุณก็สามารถป้องกันความพยายามในการเข้ามายุ่งกับ LoL.exe ด้วยตัวคุณเองได้ โดยทำตามโพยข้อสอบต่อไปนี้

การเปิดใช้งาน TPM 2.0

เราพบว่าข้อกำหนดในการใช้งาน TPM 2.0 บน Windows 11 อาจทำให้เกิดความสับสนสำหรับผู้เล่นบางราย ขณะเข้าไปที่ BIOS เพื่อเปิดใช้งาน การตั้งค่า BIOS อาจมีหน้าตาที่แตกต่างกันไปตามผู้ผลิต และมีอยู่สองเคสที่เราทราบมา ผู้เล่นได้รับข้อความแจ้งให้ทำการสลับเป็นโหมด UEFI เพื่อเปิดใช้งาน TPM ทั้ง ๆ ที่การติดตั้ง Windows เดิมของพวกเขานั้น ใช้สไตล์ตารางพาร์ติชันแบบ Master Boot Record (MBR) น่าเสียดายที่หากต้องการให้รองรับโหมด UEFI จะต้องทำการติดตั้ง Windows ไว้บนดิสก์ โดยใช้รูปแบบตารางพาร์ติชันแบบ GUID (GPT) มิเช่นนั้นจะไม่สามารถบูตได้ แม้ว่าเรื่องนี้ควรที่จะจัดการตั้งแต่แรกในตอนที่ติดตั้ง Windows 11 (เนื่องจากMicrosoft เองก็กำหนดไว้เช่นกัน) Vanguard จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่ใช้วิธีบายพาสการตรวจสอบ TPM 2.0 เดิมของ Microsoft

หากคุณพยายามเปิดใช้งาน TPM 2.0 ให้กับโปรแกรมป้องกันการโกงใดก็ตามที่กำหนดให้มีการใช้งาน และคุณทราบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ MBR โดยมีข้อมูลที่ไม่ต้องการให้สูญหายไปจากการฟอร์แม็ตใหม่โดยตรง Microsoft มีเครื่องมือที่อาจช่วยให้คุณสามารถแปลงดิสก์เป็น GPT ได้โดยไม่ต้องลบข้อมูลใด ๆ

การโต้ตอบกับฮาร์ดแวร์แบบเจาะจง

การพัฒนาไดรเวอร์อาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เมื่อ OEM หรือผู้จำหน่ายจัดส่งหรือบังคับติดตั้งเฟิร์มแวร์ที่บกพร่องบนอุปกรณ์บางส่วน เราพยายามที่จะวางแผนรับมือล่วงหน้าปัญหานี้ภายในห้องปฏิบัติการความเข้ากันได้ แต่ก็มีบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราอย่างแท้จริง หากคุณยังคงจอฟ้าโดยไร้สาเหตุ และคุณใช้ CPU Intel เจน 13 หรือ 14 ก็มีแนวโน้มสูงที่คุณอาจได้รับอุปกรณ์ซึ่งใช้เฟิร์มแวร์ล้าสมัย Intel กำลังพยายามรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในวงกว้างนี้อยู่

ประเด็นถัดไปด้านการป้องกันการโกงใน LoL

ระบบป้องกันการโกงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเสร็จสมบูรณ์ และแม้ว่า Vanguard จะช่วยลดพื้นที่เสี่ยงของเราลง และเพิ่มความยากลำบากในการโกง แต่คนโกงก็จะมองหาวิธีใหม่ ๆ ในการสร้างความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมอยู่เสมอ มาลองดูกันว่าเราเตรียมอะไรไว้เพื่อสร้างความลำบากให้กับคนโกงเหล่านั้นบ้าง

เพิ่มพลัง

แม้นักพัฒนาโปรแกรมโกงมากมายตัดสินใจยอมแพ้ไปแล้ว แต่เราก็ยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่ายังมีอีกหลายรายที่ยังไม่ถอดใจ และเราแทบจะอดใจรอไม่ไหว ที่จะได้โชว์ความสามารถของ Vanguard ในการเล่นเกมนี้กับพวกเขา  การแบนที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ซึ่งเรามั่นใจอย่างยิ่งว่าครัวของเราพร้อมสำหรับการให้บริการในครั้งนี้  คนโกงมากมายมักติดอยู่ในสภาวะ “ปฏิเสธความจริง” ในระยะต่าง ๆ ของความเศร้า เราจึงมองการแบนแต่ละครั้งเป็นเหมือนการดับไฟแห่งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ  การปล่อยให้คนโกงทุกคนถูกความมืดมิดกลืนกินอย่างช้า ๆ อาจช่วยให้พวกเขาตาสว่างอย่างแท้จริงได้ในท้ายที่สุด

Vanguard แบบ “ออนดีมานด์”

อย่างที่เราได้พูดไปก่อนหน้านี้ ในอนาคตจะต้องมีวันที่เราสามารถพึ่งพาฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยของ Windows ในการปกป้อง Kernel ของตัวเอง แทนการปกป้องจากขณะบูตด้วยไดรเวอร์ ซึ่งจะช่วยให้เรามีโอกาสได้เริ่มเซอร์วิสป้องกันการโกงของเราเองในขณะที่รันไคลเอนต์เกม ในกรณีที่ผู้ใช้ยินยอมใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ทั้งหมด เราจะสื่อสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในช่วงต้นปีถัดไป แต่หากคุณกำลังใช้งาน Windows 11 รวมถึงฮาร์ดแวร์ที่ค่อนข้างใหม่ เราก็อยากให้คุณได้รู้ว่าคุณจะไม่ต้องทนกับไอคอนแถบงานไปตลอด (แม้ว่าเราจะทุ่มเทเต็มที่ในการออกแบบโลโก้ของ Vanguard)

การตรวจจับการปั๊มแรงค์

การปั๊มแรงค์ หมายถึงพฤติกรรมการจงใจเล่นร่วมกับ (หรือเล่นด้วย) บัญชีที่แรงค์ต่ำกว่า โดยมีเป้าหมายเพื่อการเพิ่มอันดับ Ranked ให้กับบัญชีเหล่านั้น การตรวจจับนั้นเป็นสิ่งที่ทีมป้องกันการโกงไม่ได้แตะต้องมาตั้งแต่ปี 2018 และเราตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ขณะนี้เรามีเทคโนโลยีลายนิ้วมือที่ดีเพียงพอสำหรับการรับมือกับปัญหานี้อีกครั้ง เราวางแผนที่จะทุ่มเทความพยายามโดยส่วนใหญ่ของเราไปที่การตรวจจับผู้ให้บริการปั๊มแรงค์ ซึ่งเข้าคิวเล่นกับลูกค้าโดยใช้บัญชีสเมิร์ฟที่เพิ่งจะลดแรงค์มาใหม่ ๆ จากนั้นเราจะมอบรางวัลให้กับบัญชีเหล่านั้น เป็นการแบนตลอดระยะเวลาที่เหลือของซีซั่นดังกล่าว (ชั้นที่ 1) ผู้เล่นที่จงใจเข้าคิวเล่นซ้ำ ๆ กับผู้ให้บริการปั๊มแรงค์ที่ถูกลงโทษในความผิดเหล่านี้ ก็จะได้รับสิทธิ์ในการไปพักผ่อนเช่นเดียวกัน (ชั้นที่ 2) หากมีคนที่อาจหาญแชร์บัญชีกับผู้ให้บริการปั๊มแรงค์อย่างโจ่งแจ้ง บัญชีดังกล่าวก็จะถูกตรวจจับว่าเป็นสเมิร์ฟ (ในชั้นที่ 1) เช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการปิดลูปปัญหาอย่างมีประสิทธิผล

ยังเหลืองานที่เราต้องทำอีกมากมายในเรื่องนี้ แต่เราก็วางแผนที่จะเดินหน้าอย่างเต็มสูบในฤดูร้อนถัดไป

Mac x Vanguard (หรือที่เรียกว่า Vanguard 2)

ในขณะที่เราพูดถึงส่วน “การใช้บอท” คนเล่นโกงบางส่วนได้เริ่มหันไปใช้ macOS VM โดยหวังว่าจะสามารถเลี่ยงข้อกำหนดในการใช้ Vanguard ได้ นี่เป็นการกระทำที่คาดเดายากพอ ๆ กับการราดน้ำเชื่อมบนแพนเค้ก เราจึงยินดีที่จะประกาศว่าในเร็ว ๆ นี้ผลิตภัณฑ์ที่เข้าคู่กันกับ Vanguard ชื่อว่า Embedded Vanguard (mVG) จะพร้อมให้บริการบน Mac ใกล้บ้านคุณ ระบบรักษาความปลอดภัยพิเศษสำหรับสภาพแวดล้อม macOS นี้ ช่วยให้เราสามารถลดความเข้มงวดในการสอดส่องดูแล Kernel ลงได้เล็กน้อย และก็ตามชื่อของตัวผลิตภัณฑ์ คุณจะไม่จำเป็นต้องติดตั้งสิ่งใดเพิ่มเติม เพราะระบบความปลอดภัยที่ว่านี้จะ “ฝัง” อยู่ในไคลเอนต์เกมโดยตรง สุดท้ายนี้ เรามีการใช้งาน mVG ซึ่งให้ผลดีเยี่ยมบน VALORANT คอนโซล และบน Wild Rift อยู่แล้ว

หลังจากที่เริ่มนำมาใช้งานในช่วงปลายปีนี้ เราหวังว่ามันจะเป็นดาบปลิดชีพเหล่าบอทและนักพัฒนาชุดโปรแกรมสคริปต์สองราย ซึ่งกำลังกุมหัวที่ได้รู้ว่าพวกเขาเสียเวลาไปฟรี ๆ สามเดือนในการย้ายระบบโปรแกรมโกงไปใช้บน OSX แต่ก็ไม่ต้องคิดมากนะ Swift เป็นทักษะที่ดูดีในเรซูเม่ทีเดียว

ส่งท้าย

ตอนนี้คงถึงเวลาแล้ว เหล่าสหาย ที่เราจะต้องกลับไปยังครัวป้องกันการโกงอันแสนมืดมิด เพื่อเตรียมปรุงอาหารมื้อถัดไป ขอให้ทุกคนสบายใจ เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิของคุณในการแข่งขันโดยปราศจากคนโกงที่ไม่ยอมพัฒนาฝีมือตัวเองอยู่เสมอ ไม่ใช่ทุกทศวรรษที่คุณจะได้มีโอกาสทำงานกับเกมซึ่งมีการเวียนใช้ระบบป้องกันการโกงถึงสี่ตัว แต่ผมก็รู้สึกยินดีอย่างสุดซึ้งที่ LoL ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุด ยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเล่นกับคุณ เขียนบทความให้คุณอ่าน และร่วมกันแบนคนโกง

ป.ล. ตอนผมกลับมาอ่านบทความนี้ซ้ำ ผมคิดว่าสงสัยตอนเขียนผมอาจจะหิวข้าวก็ได้มั้ง?